เนื้อหาของบทความนี้จะพูดถึงกลอน วัน อาสาฬหบูชา หากคุณกำลังมองหาเกี่ยวกับกลอน วัน อาสาฬหบูชามาสำรวจหัวข้อกลอน วัน อาสาฬหบูชาในโพสต์วันอาสาฬหบูชา 2564นี้.
Table of Contents
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกลอน วัน อาสาฬหบูชาในวันอาสาฬหบูชา 2564มีรายละเอียดมากที่สุด
ที่เว็บไซต์eoifigueres.netคุณสามารถเพิ่มข้อมูลอื่น ๆ นอกเหนือจากกลอน วัน อาสาฬหบูชาเพื่อรับความรู้เพิ่มคุณค่าให้กับคุณ ในหน้าEOIFigueres เราแจ้งให้คุณทราบด้วยเนื้อหาใหม่และถูกต้องทุกวัน, ด้วยความหวังว่าจะให้บริการเนื้อหาที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคุณ ช่วยให้คุณได้รับข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุดบนอินเทอร์เน็ต.
แชร์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ กลอน วัน อาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 (ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8/8) #วันอาสาฬหบูชา #วันเข้าพรรษา #วันสำคัญทางศาสนา วันอาสาฬหบูชา เป็นวันเพ็ญเดือนเพ็ญเดือน 15 แต่ถ้าปีใดมีการก้าวกระโดดหรือแปดปีก็จะเลื่อน “แปดหน้าแปดหลัง” ไปเป็นวันเพ็ญเดือน ๘/๘ ซึ่งเป็นวันพระพุทธเจ้า เขาประกาศศาสนาของเขาเป็นครั้งแรก ส่งผลให้ลูกศิษย์คนแรกเกิดขึ้นในวันอาสาฬหบูชาตรงกับวันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาเป็นครั้งแรก (แสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกเรื่อง จักกัปปวัตตนสูตร) เกิดสาวกรุ่นแรก จึงถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา มีอัญมณีอยู่ ๓ อย่าง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สรุปความสำคัญ ๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนา ได้โปรด ฤๅษีปัญจวัคคี ณ ป่าอิสิพัทธ์มฤคทายวัน เมืองพาราณสี (ปัจจุบันคือสารนาถอินเดีย) เนื้อหาบนทางสายกลาง (มัจจิมปติปทา) ที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งทุกข์ (วัฏจักรแห่งการเกิดและการดับ) เป็นการบรรลุถึงพระนิพพาน แล้วขออุปสมบทเป็นสาวกคนแรก ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๓ อันเป็นวันที่พระรัตนตรัยทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เกิดขึ้นในโลก ๔. ทรงชี้ให้เห็นในทางที่ผิด กล่าวคือ หมกมุ่นอยู่กับกามตัณหา. และการทรมาน (นิยมปฏิบัติในขณะนั้น) เป็นสิ่งที่สุดโต่งที่ไม่ควรปฏิบัติแต่ควรเดินทางสายกลางที่เรียกว่ามรรค ๘ (กฎ ๘) เป็นการประกาศปฏิวัติคำสอนของศาสนา กาลครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถเทศน์สอนที่ขัดขืนหลักธรรมนี้เองได้บรรลุธรรมอันสูงสุด ความไม่สบายกาย ไม่สบาย (ปัญหา) ๖.๒ สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ (เหตุแห่งปัญหา) ๖.๓ นิโรธความดับเหตุที่ ทำให้เกิดความทุกข์ (จุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหา) 6.4 ทางดับทุกข์ (วิธีดับทุกข์) ทุกข์ ที่มาของทุกข์ ความดับทุกข์ และทางที่นำไปสู่ความดับทุกข์นั้น เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นความเห็นชอบ วาจาถูกต้อง การเลี้ยงชีพชอบ และความพากเพียร เป็นต้น หลังจากนั้น โกณฑัญญะ พี่ปัญจวัก ผู้มีตาเห็นธรรมะเข้าใจแจ่มแจ้ง ตามสภาพจริงที่ว่า “มีบางสิ่งเกิดขึ้นทั่วไป ทั้งหมดนั้น ล้วนดับไปตามธรรมชาติ” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “คอนธัญญะรู้” และอนุญาตให้บวชได้ ทรงเป็นพระภิกษุองค์แรกในพระพุทธศาสนา ทรงคุณประโยชน์ เนื่องในโอกาสวันอาสาฬหบูชา ซึ่งกำหนดให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 และได้มีการประกาศ เป็นวันหยุดประจำปี มีการประดับธงชาติ ธงธรรมจักร และบูชาบ้าน ช่วยเตือนชาวพุทธให้ศึกษาความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา มองเห็นคุณค่าของชีวิตตามหลักธรรมของทางสายกลางทำให้ ทำบุญตักบาตร ทำบุญ เข้าวัด ปฏิบัติธรรม รักษาศีล ไหว้พระ สวดมนต์ ฟังธรรม เวียนเทียน เจริญจิตภาวนา ตามความสามารถ หมายเหตุ เนื่องจาก วันอาสาฬหบูชา ประจำปี 2564 นี้ ในช่วงการระบาดของไวรัส covid-19 ที่รุนแรง จำเป็นต้องงดกิจกรรมหลัก เช่น เวียนเทียน หรือปฏิบัติธรรมเป็นหมู่คณะ ขอขอบคุณข้อมูล – สำนักวัฒนธรรม กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม – Wikipedia สารานุกรมเสรี – WAT INDIANA BUDHD VANARAM .
ภาพถ่ายบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับเอกสารเกี่ยวกับกลอน วัน อาสาฬหบูชา
นอกจากดูข่าวเกี่ยวกับบทความนี้แล้ว วันอาสาฬหบูชา 2564 ติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่ด้านล่าง right
คลิกที่นี่เพื่อดูข้อมูลใหม่เพิ่มเติม
คำหลักที่เกี่ยวข้องกับกลอน วัน อาสาฬหบูชา
#วนอาสาฬหบชา.
ปัญญจวัคคีย์,ป่าอิสิปัตตนมฤคทายวัน,เมืองพาราณสี,ปฐมเทศนา,ธัมมจักก้ปปวัตนสูตร,มัฌิมาปฎิปทา,อัญญาโกณฑัญญะ,อริยสัจจสี่,มรรค 8,วันหยุดประจำปี.
วันอาสาฬหบูชา 2564.
กลอน วัน อาสาฬหบูชา.
เราหวังว่าคุณค่าที่เรามอบให้จะเป็นประโยชน์กับคุณ ขอบคุณมากสำหรับการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับกลอน วัน อาสาฬหบูชาของเรา
♤ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 3 ประเภท
คือ พระปัญญาธิกพุทธเจ้า พระสัทธาธิกพุทธเจ้า และพระวิริยาธิกพุทธเจ้า ♤
ในสมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์สร้างบารมีต่างกันอย่างไร?
มีอุปมา…เหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริก ที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ
1) บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้
2) บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ(บัวปริ่มน้ำ)
3) บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว.
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทที่1.
ในสมัยที่พระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ "ทรงปรารถนาที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้เร็วๆ เพื่อที่จะนำพาสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะข้ามพ้นวัฏสงสารและเข้าถึงนิพพานให้ได้เร็วที่สุด"
พระองค์สั่งสมบารมี 30 ทัศ พร้อมกับเคี่ยวเข็ญบุคคลที่เปรียบเสมือน"บัวพ้นน้ำ"
คือขนเอาเฉพาะคนมีปัญญามากไปก่อน
เพราะเหตุนี้จึงได้ชื่อว่า "อุคฆติตัญญูโพธิสัตว์"
และเมื่อบารมีของพระองค์เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเภท"ปัญญาธิกะ"
ใช้เวลาในการสร้างบารมีและเคี่ยวเข็ญสรรพสัตว์ "20 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป" จึงขนสรรพสัตว์เข้านิพพานและไปสู่สุคติได้มากในระดับหนึ่ง แต่ยังมีลัทธิและความเชื่ออื่นอยู่มากในขณะที่พระองค์ทรงตรัสรู้และเผยแผ่พระศาสนา เช่นในสมัยของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทที่ 2.
ในสมัยที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ "ทรงปรารถนาที่จะขนสรรพสัตว์เข้านิพพานให้ได้มากๆ"
พระองค์สั่งสมบารมี 30 ทัศ พร้อมกับเคี่ยวเข็ญบุคคล 2 ประเภทคือ
1.เคี่ยวเข็ญคนที่มีปัญญามาก ซึ่งเปรียบเสมือน"บัวพ้นน้ำ"
2.เคี่ยวเข็ญคนที่เปรียบเสมือน "บัวปริ่มน้ำ" คนเหล่านี้มีพื้นฐานของความศรัทธาอยู่แล้วพอประมาณ(ศรัทธาคือความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา) พระโพธิสัตว์จึงส่งเสริมเพิ่มพูนศรัทธาแก่คนเหล่านี้ให้มากขึ้นๆ… จนกระทั่งสั่งสมบ่มบารมีได้แก่รอบ
เพราะเหตุนี้จึงได้ชื่อว่า "วิปจิตัญญูโพธิสัตว์ "
และเมื่อบารมีของพระองค์เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเภท"สัทธาธิกะ"
ใช้เวลาในการสร้างบารมีและเคี่ยวเข็ญสรรพสัตว์ "40 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป" จึงมีผู้ตรัสรู้ตามและผู้ไปสู่สุคติได้มากกว่าพระปัญญาธิกพุทธเจ้า…แต่ก็ยังมีลัทธิและความเชื่ออื่นอยู่อีกบ้างพอสมควรในขณะที่พระองค์ตรัสรู้และเผยแผ่พระศาสนา เช่น พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทที่ 3.
ในสมัยที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ "ทรงปรารถนาที่จะขนสรรพสัตว์เข้านิพพานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้"
พระองค์สั่งสมบารมี 30 ทัศ พร้อมกับเคี่ยวเข็ญบุคคลทั้ง 3 ประเภท คือ
1.เคี่ยวเข็ญคนที่มี"ปัญญามาก"
2.เคี่ยวเข็ญคนที่มี"ศรัทธาพอประมาณ"(ศรัทธาคือความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา)
3.เคี่ยวเข็ญคนที่มี…ปัญญาและศรัทธาน้อยนิด… "เปรียบเสมือนบัวที่ยังจมอยู่ในน้ำ" พระโพธิสัตว์ต้องใช้ความเพียรพยายาม ใช้ความวิริยะอุตสาหะ อย่างมากมายมหาศาล ในการทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้แก่บุคคลเหล่านี้..
เพราะเหตุนี้จึงได้ชื่อว่า "เนยยโพธิสัตว์"
และเมื่อบารมีของพระองค์เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเภท"วิริยาธิกะ"
ใช้เวลาในการสร้างบารมีและเคี่ยวเข็ญสรรพสัตว์ "80 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป" จึงมีสาวกตรัสรู้ตามได้มาก และไปสู่สุคติเป็นจำนวนมาก…
เนื่องจากพระองค์โปรดคนได้ทุกประเภท จึงไม่มีลัทธิหรือความเชื่ออื่นเลย ในขณะที่พระองค์ตรัสรู้และเผยแผ่พระศาสนา
เช่น พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระปัญญาธิกพุทธเจ้า เป็นพระบรมครูได้เร็ว มีพระวรกายเล็กกว่า พระชนมายุน้อยกว่า มีสัตว์ผู้ตรัสรู้ตามน้อยกว่า พระพุทธเจ้าประเภทอื่น
พระสัทธาธิกพุทธเจ้า มีพระวรกายใหญ่ขึ้น พระชนมายุยืนยาวขึ้น มีสัตว์ผู้ตรัสรู้ตามมากขึ้นกว่าพระปัญญาธิกพุทธเจ้า
พระวิริยาธิกพุทธเจ้า มีพระวรกายสูงใหญ่ พระชนมายุยืนยาว มีสัตว์ผู้ตรัสรู้ตามได้มากที่สุด
แต่ความเป็นพระพุทธเจ้า เสมอกันทุกพระองค์ คือ ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ และทรงถึงพร้อมด้วย พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ
https://youtu.be/U6KsPpvIKfI อสงไขย
○ตลอดระยะเวลาในการสร้างบารมีของพระบรมโพธิสัตว์ ทุกพระองค์ ทุกประเภท…
ท่านต้องใช้ปัญญาอย่างมากมายมหาศาล
(ปัญญาน้อย…สร้างบารมีเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้)
ท่านต้องใช้ศรัทธาอย่างมากมายมหาศาล
(ศรัทธาน้อย…สร้างบารมีเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้)
ท่านต้องใช้วิริยะอย่างมากมายมหาศาล
(วิริยะน้อย…สร้างบารมีเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้)
ปัญญาธิกโพธิสัตว์ จะสามารถเป็นพระบรมครู ช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้ "เร็วที่สุด"
สัทธาธิกโพธิสัตว์ จะสามารถเป็นพระบรมครูได้ "เร็วปานกลาง" ช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้ "มากปานกลาง"
วิริยาธิกโพธิสัตว์ จะสามารถเป็นพระบรมครู ช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้ "มากที่สุด"
♤ การช่วยเหลือสรรพสัตว์ ให้พ้นจากภัยในสังสารวัฏนั้น
"ช่วยเหลือให้ได้เร็วๆก็เป็นเรื่องสำคัญ(ระยะเวลา)
ช่วยเหลือให้ได้มากๆก็เป็นเรื่องสำคัญ(ปริมาณ)"
เพราะฉะนั้น จึงขึ้นอยู่ที่ว่า พระบรมโพธิสัตว์จะเลือกแบบไหน
♤ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่ที่ความปรารถนาของพระองค์
จึงไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้ว่า พระโพธิสัตว์ประเภทไหนเหนือกว่ากัน
หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทไหนเหนือกว่ากัน
♤ เพราะทุกพระองค์ มีพระคุณอันไม่มีประมาณต่อสัตว์โลก
ระบบเสียงไม่เสมอครับ สาธุครับ