การสอนแบบ Active Learning เป็นแนวทางการสอนที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เน้นการมีส่วนร่วมและการลงมือปฏิบัติของผู้เรียน โดยการให้พวกเขามีการแก้ไขปัญหา คิดวิเคราะห์ และสร้างความเข้าใจอย่างเชื่อถือได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงวิธีการสอนแบบ Active Learning พร้อมกับขั้นตอนและเคล็ดลับในการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
Table of Contents
Active Learning: แนวคิดและพื้นฐาน
การสอนแบบ Active Learning เกิดขึ้นจากแนวคิด Constructivism ซึ่งเน้นการสร้างความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเอง โดยการใช้ประสบการณ์และความรู้ที่มีอยู่เดิมของผู้เรียน เพื่อสร้างความเข้าใจและการเรียนรู้ที่ยั่งยืน
พื้นฐานของ Active Learning
- เน้นการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้
- สร้างการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน
- กระตุ้นการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาของผู้เรียน
5 ขั้นตอนของ Active Learning
การสอนแบบ Active Learning มีขั้นตอนหลัก 5 ขั้นที่ช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
การรวบรวมและเลือกข้อมูล
- ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะเรียน
- สร้างความกระตือรือร้นในการเรียนรู้
การประมวลผลข้อมูล จัดระเบียบความรู้ คิดวิเคราะห์
- ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
- ใช้เครื่องมือการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
การประมวลผลข้อมูลและจัดระเบียบความรู้เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสอนแบบ Active Learning เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพสูงขึ้น โดยมุ่งเน้นการสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาของผู้เรียน
ในขั้นตอนนี้ ผู้สอนจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและจัดระเบียบข้อมูลที่ได้รับให้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ โดยมีขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลและจัดระเบียบความรู้ดังนี้
- การวิเคราะห์ข้อมูล: ผู้สอนจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์และตีความข้อมูลที่ได้รับได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและครอบคลุมเนื้อหา
- การจัดระเบียบความรู้: ผู้สอนจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจัดระเบียบความรู้ที่ได้รับให้อย่างเป็นระเบียบและมีระเบียบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่สมบูรณ์และมีความสอดคล้องกับเนื้อหาที่เรียน
- การคิดวิเคราะห์: ผู้สอนจะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจที่มีเหตุผล เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ดังนั้น การประมวลผลข้อมูลและจัดระเบียบความรู้เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสอนแบบ Active Learning เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้
- ให้โอกาสให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง
- สร้างประสบการณ์ที่จำได้และมีความหมาย
ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้เป็นขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการการเรียนรู้แบบ Active Learning ซึ่งเน้นการให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้รับมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง ๆ หรือในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ในขั้นตอนนี้ ผู้เรียนจะต้องได้รับโอกาสในการฝึกปฏิบัติและนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือสร้างผลงานที่มีคุณค่า เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
นอกจากนี้ การสรุปความรู้ยังเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้อย่างเต็มรูปแบบและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยผ่านการสรุปความรู้ผู้เรียนจะสามารถนำเสนอความเข้าใจของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ดังนั้น ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญในกระบวนการการเรียนรู้แบบ Active Learning เพื่อให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นสื่อสารและนำเสนอ
- ส่งเสริมทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่น
- ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการแบ่งปันความรู้
ขั้นสื่อสารและนำเสนอเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่เน้นการสื่อสารและการแสดงผลของความรู้ที่ได้รับอย่างชัดเจนและน่าสนใจ
ในขั้นตอนนี้ ผู้เรียนจะต้องมีโอกาสในการนำเสนอความรู้ที่ได้รับแก่ผู้อื่นโดยใช้สื่อต่าง ๆ เช่น การนำเสนอโปรเจกต์ การสร้างงานศิลปะ หรือการเขียนรายงาน เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจและได้รับประโยชน์จากความรู้ที่ผู้เรียนมี
การสื่อสารและนำเสนอยังช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะการสื่อสารและการนำเสนอข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้สื่อต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและประสบการณ์ที่มีคุณค่าสำหรับผู้ฟังหรือผู้ชม
ดังนั้น ขั้นสื่อสารและนำเสนอเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสดงความรู้และความเข้าใจของตนเองอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการแบ่งปันความรู้กับผู้อื่น
ประเมินเพื่อเพิ่มคุณค่า ต่อยอดความรู้
- ส่งเสริมการประเมินตนเองและการปรับปรุงตนเอง
- สร้างความกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเอง
การประเมินเพื่อเพิ่มคุณค่าและต่อยอดความรู้เป็นขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อกำหนดหรือข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อยอดความรู้และทักษะในอนาคต
ในขั้นตอนนี้ ผู้สอนหรือผู้นำการเรียนการสอนจะทำการประเมินผลของการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวิธีการที่เหมาะสม เช่น การทำแบบทดสอบ เรียนรู้ผ่านปฏิสัมพันธ์ หรือการประเมินผลงาน
การประเมินนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อกำหนดหรือข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาต่อยอดความรู้และทักษะของตนเองในอนาคต โดยการประเมินนี้อาจจะเป็นการประเมินระบบตัวบ่งชี้ การสัมภาษณ์ หรือการประเมินผลงานที่ผู้เรียนสร้างขึ้น
ดังนั้น การประเมินเพื่อเพิ่มคุณค่าและต่อยอดความรู้เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองและเตรียมพร้อมต่อการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นในอนาคต
บทบาทของผู้สอนใน Active Learning
ในการสอนแบบ Active Learning ผู้สอนมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและกระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นการเป็นผู้สนับสนุนและผู้ช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้
สนับสนุนและสร้างบรรยากาศการเรียนรู้
- สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
- สร้างกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
ให้การตอบรับและสนับสนุน
- ให้คำแนะนำและคำปรึกษาที่เหมาะสมต่อความต้องการของผู้เรียน
- สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการสนับสนุนและสร้างความเชื่อมั่นในการเรียนรู้
ข้อแนะนำในการสอนแบบ Active Learning
การสอนแบบ Active Learning เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้น นี่คือบางข้อแนะนำในการใช้งาน Active Learning อย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างกิจกรรมที่มีความหลากหลายและเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
- ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีในการสนับสนุนการเรียนรู้ เช่น การใช้เว็บไซต์เรียนรู้ออนไลน์หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้
- สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่น
- สร้างการกำหนดเวลาในการสอนที่ยืดหยุ่นเพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสในการเรียนรู้ที่สะดวกสบาย
เรียนรู้แบบ Passive vs. Active: ความแตกต่างและวิธีการเลือกใช้
การเรียนรู้แบบ กิจกรรมนิ่ง และ แบบ ผ่านทาง ความเข้าใจในห้องเรียน นั้นแตกต่างกันอย่างไร? การเรียนรู้แบบ ผ่านทาง เป็นวิธีการสอนที่ผู้เรียนมีบทบาทในการรับข้อมูล โดยการฟัง ดู หรือ อ่าน และจดบันทึก เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ส่วนการเรียนรู้แบบ กิจกรรมนิ่ง เน้นการมีส่วนร่วมและการปฏิบัติจริง ๆ ของผู้เรียน โดยการแก้ปัญหา คิดวิเคราะห์ หรือ สร้างความเข้าใจโดยตรงจากประสบการณ์ นี้คือหลักการต่าง ๆ ระหว่าง การเรียนรู้แบบ กิจกรรมนิ่ง และ ผ่านทาง การเรียนรู้
ในการเรียนรู้แบบ ผ่านทาง ผู้เรียนมักจะเป็นผู้รับข้อมูลจากผู้สอน โดยมักจะเป็นการฟัง ดู หรือ อ่านเนื้อหาที่ผู้สอนมอบให้ และจดบันทึก การเรียนรู้แบบนี้มักจะเน้นไปที่การรับรู้และจดจำข้อมูล เช่นการอ่านหนังสือหรือการฟังบรรยาย ซึ่งผู้เรียนจะต้องเข้าใจและจดจำข้อมูลที่ได้รับเพื่อใช้ในการทดสอบหรืองานอื่น ๆ
ในขณะที่การเรียนรู้แบบ กิจกรรมนิ่ง เน้นไปที่การมีส่วนร่วมและการปฏิบัติจริง ๆ ของผู้เรียน โดยมักจะมีกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องทำ เช่น การแก้ปัญหา การออกแบบ หรือการสร้างผลงาน เป้าหมายของการเรียนรู้แบบนี้มีการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริงๆ ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาได้มากขึ้น
ดังนั้น การเลือกใช้วิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และลักษณะของเนื้อหาเป็นสำคัญ เช่น การใช้การเรียนรู้แบบผ่านทางเมื่อต้องการส่งเสริมการรับรู้และจดจำข้อมูล ในขณะที่การใช้การเรียนรู้แบบกิจกรรมนิ่งเมื่อต้องการส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาให้กับผู้เรียน
Passive Learning (การเรียนรู้แบบ Passive)
การเรียนรู้แบบ Passive เป็นการรับข้อมูลโดยไม่มีการมีส่วนร่วมอย่างมากในกระบวนการเรียนรู้ นักเรียนมักจะเป็นผู้ที่ได้รับข้อมูลจากอาจารย์หรือสื่อต่างๆ และทำการรับรู้ข้อมูลโดย passively โดยไม่มีการมีส่วนร่วมหรือการแสดงออกอย่างชัดเจน
ลักษณะของ Passive Learning
- การรับข้อมูลโดย passively โดยไม่มีการมีส่วนร่วม
- การเรียนรู้โดยการฟังหรือการดูเท่านั้น
- มักจะมีการลืมข้อมูลได้ง่ายเนื่องจากขาดการมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้
- การเรียนรู้อาจจะมีความเบื่อหรือไม่น่าสนใจเนื่องจากขาดการมีส่วนร่วม
Active Learning (การเรียนรู้แบบ Active)
การเรียนรู้แบบ Active เป็นการรับข้อมูลโดยมีการมีส่วนร่วมและการมีการแสดงออกของผู้เรียนในกระบวนการเรียนรู้ นักเรียนมักจะมีการสร้างความเข้าใจของข้อมูลด้วยตนเอง และมีการมีส่วนร่วมในการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งของเนื้อหา
ลักษณะของ Active Learning
- การมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้
- การมีการแสดงออกและการสร้างความเข้าใจของข้อมูลด้วยตนเอง
- การใช้เครื่องมือการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ เช่น การสร้างแผนผังความคิด (mind maps) หรือการสร้างการ์ดคำศัพท์ (flashcards)
- การมีการปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาโดยตรง โดยการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริง
การเลือกใช้แบบใดควรจะเหมาะสม?
การเลือกใช้วิธีการเรียนรู้แบบไหนเหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของเนื้อหา และรูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล แต่ละวิชาหรือบทเรียนอาจมีความเหมาะสมกับการเรียนรู้แบบ Passive หรือ Active ตามลำดับ ดังนั้นการเลือกใช้วิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างมาก
วิธีการเลือกใช้
- การประเมินลักษณะของเนื้อหา: หากเนื้อหามีความซับซ้อนและต้องการการเข้าใจที่ลึกซึ้งมาก การเรียนรู้แบบ Active อาจจะเหมาะสมมากกว่าเพราะมีการมีส่วนร่วมและการมีการแสดงออกของผู้เรียน
- การระบบเนื้อหา: หากเนื้อหามีลำดับและโครงสร้างที่ชัดเจน การเรียนรู้แบบ Passive อาจจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากสามารถรับข้อมูลได้อย่างมีระเบียบและชัดเจน
- รูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล: บางคนอาจมีความสามารถในการเรียนรู้แบบ Active มากกว่าแบบ Passive หรือกลับกัน การปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ตามความเหมาะสมของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การสอนแบบ Active Learning: 5 วิธีที่ครูควรใช้ในยุคปัจจุบัน
5E (Engage – Explore – Explain – Extend – Evaluate)
การสอนแบบ 5E เป็นวิธีการสอนที่มุ่งเน้นการกระตุ้นความสนใจและการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเต็มที่ โดยมีขั้นตอนการสอนดังนี้:
- Engage (ยังคิดอยู่เหมือนเดิม): การสอนจะเริ่มต้นด้วยการปลดปล่อยความสนใจของนักเรียนต่อเนื้อหาที่จะเรียน โดยใช้เช่นเรื่องราวน่าสนใจหรือการเปิดประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง
- Explore (สำรวจ): นักเรียนจะได้รับโอกาสในการสำรวจและสร้างความเข้าใจต่อเนื้อหาที่เรียนโดยใช้กิจกรรมและการทดลองต่าง ๆ เพื่อเข้าใจหลักการพื้นฐาน
- Explain (อธิบาย): นักเรียนจะถูกแนะนำให้สรุปความเข้าใจและอธิบายหลักการที่ได้เรียนรู้ในขั้นตอน Explore
- Extend (ขยาย): การสอนจะขยายความเข้าใจและทักษะของนักเรียนโดยให้โอกาสในการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริงหรือการแก้ปัญหา
- Evaluate (ประเมิน): ในขั้นตอนสุดท้ายนี้ ครูจะประเมินความเข้าใจและทักษะของนักเรียนต่อเนื้อหาที่ได้เรียนรู้
Phenomenon Based Learning (PheBL)
Phenomenon Based Learning เป็นการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการสังเกตและการทดลอง โดยมุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับปรากฎการณ์ในสังคมหรือธรรมชาติที่น่าสนใจ
การใช้กรณีศึกษา (Case Study Method)
การใช้กรณีศึกษาเป็นวิธีการสอนที่ใช้เหตุการณ์จริงหรือกรณีศึกษาเป็นฐานในการเรียนรู้ โดยนักเรียนจะได้ศึกษาเกี่ยวกับปัญหาหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและพยายามหาวิธีการแก้ไข
Project Based Learning (PrBL)
Project Based Learning เป็นวิธีการสอนที่ให้นักเรียนเรียนรู้โดยการทำโปรเจกต์หรือโครงการต่าง ๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับเนื้อหาที่เรียน นักเรียนจะได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม การวางแผน และการแก้ปัญหา
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning : PBL)
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นการสอนที่ให้นักเรียนแก้ปัญหาตามความเข้าใจและทักษะของตนเอง โดยนักเรียนจะถูกนำมาตั้งคำถาม ค้นคว้า และแก้ไขปัญหาในบทเรียน
การสอนแบบ Active Learning เป็นการใช้เทคนิคและวิธีการที่ท้าทายนักเรียนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ และให้พัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันในอนาคต
สรุป
การสอนแบบ Active Learning เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้ที่ยั่งยืนและการพัฒนาทักษะของผู้เรียน โดยการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างมากในกระบวนการเรียนรู้ ผ่านการลงมือปฏิบัติและการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งในเนื้อหาที่เรียน ดังนั้น การใช้งาน Active Learning นั้นเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ควรพิจารณาเมื่อต้องการสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพสูงในห้องเรียนและสถานที่เรียนรู้อื่น ๆ ในทุก ๆ ระดับการศึกษา